Quality of life and occupational safety of automotive parts manufacturing employees in the Eastern Seaboard Industrial Estate

Abstract

This research is a quantitative study aimed at investigating the quality of life and occupational safety of automotive parts manufacturing employees in the Eastern Seaboard Industrial Estate. The study has three research objectives: 1) To examine the personal factors of automotive parts manufacturing employees in the Eastern Seaboard Industrial Estate. 2) To investigate the quality of life and occupational safety of automotive parts manufacturing employees in the Eastern Seaboard Industrial Estate. 3) To compare the differences in the quality of life and occupational safety of automotive parts manufacturing employees in the Eastern Seaboard Industrial Estate, classified by personal factors. The population for this research consisted of 13,766 automotive parts manufacturing employees in the Eastern Seaboard Industrial Estate. The sample size was calculated using Yamane's formula (1974), resulting in a total of 389 individuals. However, data were collected from 120 respondents. The instrument used for data collection was a questionnaire, which was divided into a check-list section and a rating scale section. The statistical methods used for data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, and ANOVA.The research findings revealed that the majority of respondents were male, aged between 20 and 30 years old, working as production operators, with less than 5 years of work experience, an average monthly income of 20,000-30,000 baht, working more than 8 hours per day, and using semi-automatic machinery. Overall, the quality of life and occupational safety of automotive parts manufacturing employees in the Eastern Seaboard Industrial Estate were at a high level of importance. When considering each aspect, the aspect with the highest mean score was "safe working conditions," followed by "social acceptance," "democracy at work," "work-life balance," "opportunities for advancement and skill development," and "fair compensation," respectively.This research is beneficial for entrepreneurs in the industrial sector to assist them in planning or improving labor-related policies, such as providing additional welfare or safety training. Furthermore, it is beneficial for government agencies in improving safety measures, which will help reduce the rate of work-related illnesses or injuries, thereby reducing the burden on the public health system in the long term. Additionally, it is valuable for educational institutions to utilize the findings in establishing collaborations with the industrial and government sectors to develop a workforce that meets the specific needs of the industry.

งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานฝ่ายผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้ 3 ข้อ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุลคลของพนักงานฝ่ายผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด 2) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานฝ่ายผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด 3) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานฝ่ายผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ พนักงานฝ่ายผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดจำนวนทั้งสิ้น 13,766 คน โดยคำนวณจำนวนกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Yamane (1974) ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 389 ราย และ สามารถเก็บข้อมูลได้จริง 120 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่แบบสอบถามซึ่งแบ่งออกเป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ ANOVAผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชาย อายุ 20 – 30 ปี งานตำแหน่งพนักงานฝ่ายผลิต ประสบการณ์ทำงานต่ำกว่า 5 ปี รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,000-30,000 บาท เวลาทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมง และประเภทเครื่องมือแบบกึ่งอัตโนมัติ โดยมีคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานฝ่ายผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยรวม มีระดับความสำคัญอยู่ในระดับมากและเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านสภาพการทำงานที่ปลอดภัย มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการได้รับการยอมรับในสังคม ด้านความเป็นประชาธิปไตยในการทำงาน ด้านความสมดุลในชีวิตงานและครอบครัว ด้านโอกาสก้าวหน้าและการพัฒนาความสามารถ และ ด้านการให้สิ่งตอบแทนที่ยุติธรรม ตามลำดับ งานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม เพื่อช่วยผู้ประกอบการวางแผนหรือปรับปรุงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน เช่น การจัดสวัสดิการเพิ่มเติมหรือการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐในการปรับปรุงด้านความปลอดภัยจะช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บในที่ทำงาน ซึ่งเป็นการลดภาระของระบบสาธารณสุขในระยะยาว และต่อสถาบันการศึกษาใน การนำผลการศึกษานี้ไปใช้ในการสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ เพื่อพัฒนากำลังคนที่ตรงกับความต้องการ